"Timing" หรือ "จังหวะเวลา" เป็นอีกปัจจัยสำคัญต่อการทำธุรกิจ ที่จะส่งผลถึงความสำเร็จและความล้มเหลวต่อธุรกิจ หากเราสามารถจับ "จังหวะเวลา" ได้ถูก ความสำเร็จก็อยู่แค่เอื้อม แต่หากปล่อยให้ "เวลา" ที่เหมาะสมผ่านเลยไป "โอกาส" ที่เราควรจะได้รับก็จะหมดไป ดังที่เคยมีคนพูดไว้ว่า “เวลากับโอกาส ไม่เคยรอใคร...เริ่มต้นและสิ้นสุด ด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่เสมอ” ในแวดวงธุรกิจที่พูดถึงเรื่อง “จังหวะเวลา” มักจะนึกถึงหลักปรัชญาการดำเนินชีวิตและการทำงาน เพียง 4 พยางค์ คือ “เร็ว-ช้า-หนัก-เบา” ของ “เจ้าสัวเทียม โชควัฒนา” ผู้ก่อตั้งเครือสหพัฒน์ฯ ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย ที่มียอดขายปีละกว่า 1 แสนล้านบาท หลักปรัชญา “เร็ว-ช้า-หนัก-เบา” ฟังง่าย แต่ทำยาก ไม่ใช่สูตรตายตัว 1+1 เป็น 2 ขึ้นอยู่กับประสบการณ์แต่ละคนและแต่ละองค์กรจึงมีการตีความหลักปรัชญานี้ แตกต่างกันไป แต่ที่เข้าใจกันส่วนใหญ่คือ

“เร็ว”... งานไหนต้องเร่งทำก่อน ก็ต้องทำให้รวดเร็ว

“ช้า”... งานไหนยังรอได้ ก็พักไว้ก่อน แล้วคิดให้รอบคอบละเอียดถี่ถ้วน

“หนัก”...เมื่อตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ต้องทุ่มเทแรงกาย แรงใจอย่างหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย

“เบา” ... รู้จักผ่อนแรงในช่วงสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน

การจัดการกับ “จังหวะเวลา” ให้เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ หลักปรัชาญานี้ นำไปปรับใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดำเนินชีวิต การดำเนินธุรกิจรวมไปถึงการบริหารประเทศ “จังหวะเวลา” เกิดขึ้นได้ ทั้งที่ “รู้ล่วงหน้า” และ “โดยไม่ทันตั้งตัว” ทั้ง “ด้านบวก” และ “ด้านลบ” ดังนั้นจะต้องมีแผนเตรียมการรองรับ “จังหวะเวลา” ดังกล่าว เพื่อที่จะฉกฉวยโอกาสได้อย่างเต็มที่ หรือเพื่อรับมือได้ทันการณ์ไม่ให้เกิด ความเสียหายรุนแรง

การดำเนินธุรกิจย่อมต้องเจอกับ "จังหวะเวลา" ดังกล่าว...

แต่หากเป็น "จังหวะเวลา" ที่รู้ล่วงหน้า ใน "ด้านบวก" เช่น ภาวะเศรษฐกิจจะฟื้นตัว ก็เตรียมแผนว่าจะขยายกำลังการผลิตอย่างไรจะเพิ่มช่องทาง จำหน่ายอย่างไร “จังหวะเวลา” ที่รู้ล่วงหน้าอีกกรณี คือปฏิทินวันหยุดยาว ซึ่งจะเป็นทั้ง “ด้านลบ” กับบางธุรกิจ แต่ก็จะเป็น “ด้านบวก” กับบางธุรกิจ “วันหยุดยาว” ตามเทศกาลต่างๆ นั้น คนจะออกเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ธุรกิจที่จะได้รับอานิสงส์ “ด้านบวก” จะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับ การท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น โรงแรม รีสอร์ท ปั๊มน้ำมัน ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ และอื่นๆ

ต้องเตรียมแผนรองรับ "โอกาส" ตั้งแต่เนิ่นๆ...

ต้องการสต็อกสินค้าให้เพียงพอ หรือการเพิ่มพนักงานให้เพียงพอกับลูกค้า ที่จะมาใช้บริการมากกว่าปกติ สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมการรองรับ ไว้ด้วยนั่นคือ “ห้องน้ำ” ซึ่งถือเป็นจุดขายเช่นกัน หากสกปรก น้ำไม่ไหล ไฟดับ ลูกค้าเข้ามาใช้บริการก็คงต้องเมินหน้าหนี ไม่มาอีกแน่ ในทางกลับกัน หากเตรียมจัดการ "ห้องน้ำ" ให้พร้อม ทั้งความสะอาดและสวยงาม จะทำให้ลูกค้าประทับใจ กลับมาใช้บริการอีก ยิ่งหากใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในห้องน้ำที่ช่วยให้ประหยัดกว่าเดิมก็จะทำให้ "กำไร" เพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำทั้งเรื่องความสะอาดและเรื่องประหยัดค่าใช้จ่าย

เครื่องเป่ามือพลังลม “Jet Towel Mini” ช่วยได้ทั้ง 2 เรื่อง...

เรื่องการประหยัด... เครื่องเป่ามือพลังลม “Jet Towel Mini” จะเสียค่าไฟเฉลี่ยแค่ 300 บาท/ปีเท่านั้น ขณะที่เครื่องเป่ามือลมร้อน เป่ามือแห้งทั่วไป จะเสียค่าไฟเฉลี่ยสูงถึง 4,000 บาท/ปี เมื่อใช้เครื่องเป่ามือพลังลม “Jet Towel Mini” จะไม่มีค่าใช้จ่ายเรื่องกระดาษชำระ และค่าถุงดำที่ไว้ ใส่กระดาษชำระที่ใช้แล้ว จะมีค่าใช้จ่ายรวมเฉลี่ยถึง 15,000 บาท/ปี

เรื่องความสะอาด... เครื่องเป่ามือพลังลม “Jet Towel Mini” ทำจากเรซิ่น ง่ายต่อการทำความสะอาด ลดการสะสมสิ่งสกปรก รวมทั้ง มีถาดรองน้ำทำให้ไม่มีน้ำหยดลงพื้นห้องน้ำให้ชื้นแฉะ ช่วยลดกลิ่นอับและยังช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุด้วย นอกจากนี้ ทุกส่วนของตัวเครื่องที่ต้องสัมผัส กับน้ำก็มีการป้องกันแบคทีเรียด้วยสาร Anti-bacteria เพื่อให้มั่นใจว่าปราศจากเชื้อโรค ดังนั้น ผู้ประกอบการที่มองการณ์ไกลต้องรีบ ตัดสินใจกับเครื่องเป่ามือพลังลม “Jet Towel Mini” ที่จะช่วยเกื้อหนุนให้เก็บเกี่ยว โอกาสทำกำไรได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยในช่วงวันหยุดยาว ที่ใกล้จะมาถึง


JET Towel Mini
เครื่องเป่ามือพลังลม
สุดยอดนวัตกรรมจาก มิตซูบิชิ อีเล็คทริค
ประหยัด คุ้มค่า ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่าย

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะช่วยให้เราลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายลงได้อีกมาก
นั่นหมายความว่า จะทำให้เรามีกำไรเพิ่มขึ้นมากตามไปด้วย
ติดตามดูรายละเอียดของเครื่องเป่ามือพลังลม Jet Towel Mini
ได้ ที่นี่